ไขที่มา ทำไมถึงเรียกรถโดยสารประจำทางว่า “รถเมล์”

ที่มาคำว่ารถเมล์ มาจากไหน? และเมื่อหลายสิบปีก่อนมีรถเมล์สีอะไรบ้าง?

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เล่าไว้ในผลงาน “วานนี้ที่สุขุมวิท” (สำนักพิมพ์มติชน) ถ่ายทอดเรื่องราววิถีชีวิตความเป็นอยู่ในย่านถนนสุขุมวิท ช่วง พ.ศ. 2504-2530 และสอดแทรกอัตชีวประวัติของ อ. ธงทอง นับเป็นบันทึกประวัติศาสตร์สังคมที่น่าสนใจเล่มหนึ่ง ว่า

บริการขนส่งสาธารณะที่ได้รับความนิยมมากกว่ารถราง และยังมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ได้แก่ “รถเมล์” หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งเป็นทางการว่า “รถประจำทาง” ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีพัฒนาการต่อเนื่องมาถึงยุคนี้

คำว่า “รถเมล์” มีใช้ในไทย แต่ประเทศอื่นเรียกว่า “รถบัส” (Bus) ที่มาคำว่ารถเมล์ มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “Mail” ซึ่งความหมายดั้งเดิมหมายถึงการไปรษณีย์

สาเหตุที่คำว่า “เมล์” พ่วงอยู่กับรถกับเรือเป็นรถเมล์หรือเรือเมล์ อ. ธงทอง เล่าว่า เพราะเมื่อแรกมีการไปรษณีย์ในประเทศไทย มีการฝากถุงเมล์หรือถุงไปรษณีย์ไปกับรถและเรือเหล่านี้ คนทั้งหลายจึงพลอยเรียกรถหรือเรือที่ขนส่งพัสดุไปรษณีย์ว่ารถเมล์และเรือเมล์ไปด้วย

แม้ทุกวันนี้รถเรือเหล่านั้นไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่คำเรียกว่ารถเมล์ก็ยังเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า หมายความถึงรถที่วิ่งเป็นประจำเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง และมาตามกำหนดเวลา เช่น ทุกสิบนาที ทุกครึ่งชั่วโมง เป็นต้น

ข้างต้นน่าจะพอเป็นคำตอบ ที่มาคำว่ารถเมล์ ไปพอสมควร แล้วรถเมล์สมัยก่อนมีสีอะไรบ้าง?

อ. ธงทอง เล่าว่า ตั้งแต่เริ่มจำความได้จนเติบโตเข้ามหาวิทยาลัย รถเมล์ในกรุงเทพฯ มีหลากหลายสีสันอย่างมาก และเป็นกิจการเอกชนต่างเจ้าของกันทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละบริษัทก็จะใช้สีแตกต่างกันไป

อย่างรถที่ชาวบ้านเรียกชื่อกันว่า “รถเมล์พีระ” เป็นรถเมล์ที่วิ่งประจำทางระหว่างเตาปูนกับสุรวงศ์ ใช้หมายเลขประจําทางเลข 16 และเป็น “รถเมล์สีฟ้า”

ชื่อ “พีระ” ที่ต่อท้ายคำว่ารถเมล์ ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทรถเมล์แต่อย่างใด หากแต่เป็นพระนาม พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีระพงศ์ภาณุเดช เจ้านายนักขับรถแข่งผู้มีชื่อเสียงระดับโลกของเมืองไทย

รถยนต์ที่ท่านทรงใช้ขับแข่งขันเป็นประจำคือ สีฟ้า และเป็นสีฟ้าที่ไม่เหมือนสีฟ้าอื่น ชาวบ้านจึงเรียกว่า “สีฟ้าพระองค์พีระ” เมื่อรถเมล์สาย 16 นำสีฟ้าดังกล่าวมาใช้ จึงเรียกกันว่า “รถเมล์พีระ”

ยังมี “รถเมล์ขาว” ที่ อ. ธงทอง เล่าว่า

“รถเมล์ของบริษัทหนึ่งที่มีกิจการใหญ่โตมากที่สุดในยุคนั้น ได้แก่ รถเมล์ขาวของ ‘บริษัท นายเลิศ จำกัด’ ซึ่งเป็นกิจการของพระยาภักดีนรเศรษฐ์ คนเดียวกันกับที่จัดสรรที่ดินขายให้คุณปู่ของผมดังที่เคยเล่ามาแล้วนั่นเอง

กิจการของท่านมียี่ห้อสัญลักษณ์เป็นรูปคล้ายขนมกง คือเป็นวงกลมแล้วมีกากบาทอยู่ตรงกลาง บางทีก็มีผู้เรียกตรานี้ว่าตราโปสี่ประตู อธิบายต่อไปว่าหมายถึงพรหมวิหารสี่ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งเป็นคุณธรรม ที่ผู้เป็นเจ้าของบริษัทยึดถือเป็นสรณะ…”

กิจการของรถเมล์ขาวมีหลายสาย วิ่งให้บริการแทบจะทั่วทั้งพระนคร รวมทั้งรถหมายเลขประจำทางสาย 8 ที่วิ่งระหว่างสะพานพุทธฯ กับลาดพร้าวก็เคยเป็นกิจการรถเมล์ขาวมาก่อน และแต่ก่อนก็ขับรถได้สุภาพเรียบร้อยปลอดภัยตามมาตรฐานของบริษัทนายเลิศเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมี “รถสีน้ำตาล” เรียกว่า รถเมล์ศิริมิตร เป็นรถสาย 49 วิ่งระหว่างเตาปูนกับโรงพยาบาลกลาง “รถเมล์สีเขียว” คือ รถเมล์ศรีนคร “รถเมล์สีฟ้า” ของ ร.ส.พ. สาย 22 วิ่งระหว่างถนนตกกับกล้วยน้ำไท รถสายนี้มีสีประจำรถคือสีฟ้า แต่เป็นสีฟ้าที่สว่างกว่าสีฟ้าพีระ

รวมทั้ง “รถเมล์สีน้ำเงินคาดขาว” คือ รถเมล์บุญผ่อง มาจากชื่อของนายบุญผ่อง สิริเวชะภัณฑ์ ผู้เป็นเจ้าของกิจการ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นายบุญผ่องได้เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือฝรั่งเชลยสงครามให้รอดตายจากการทำงานหนักในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะได้เป็นจำนวนมาก

ปัจจุบัน แม้จะมีรถไฟฟ้าเป็นโครงข่ายคมนาคมสาธารณะ ที่ขยายเส้นทางครอบคลุมจุดสำคัญแทบจะทั่วทั้งกรุงเทพมหานครและพื้นที่ชานเมือง แต่รถเมล์ก็ยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย ด้วยค่าโดยสารที่ย่อมเยากว่า แม้ต้องแลกด้วยเวลาบนท้องถนนไปบ้างก็ตาม

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

อ้างอิง :

ธงทอง จันทรางศุ. วานนี้ที่สุขุมวิท. กรุงเทพฯ : มติชน, 2561

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 กรกฎาคม 2567

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ไขที่มา ทำไมถึงเรียกรถโดยสารประจำทางว่า “รถเมล์”

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่

– Website : https://www.silpa-mag.com

2024-07-05T06:02:33Z