EQS ปรับโฉมใหม่ ไฉไลกว่าเดิม

รถไฟฟ้ารุ่น EQS นี้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2022 ด้วยรูปลักษณ์ที่เน้นไปทางสปอร์ต เพรียวลม โดยแม้ในโฉมปี 2025 จะยังคงรักษาไว้ซึ่งสัดส่วนตัวถังรถ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนก็คือ “การออกแบบกระจังหน้า” เพราะแต่เดิม รถในตระกูล EQ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์จะใช้กระจังหน้าสไตล์ “เบนซ์สปอร์ต” นั่นก็คือ มีดาวสามแฉกดวงใหญ่ อยู่กลางกระจังหน้า ซึ่งเป็นสไตล์ที่ รถรุ่นต่างๆของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันเลือกใช้ สอดคล้องกันดีกับ พฤติกรรมของการเป็นรถที่เน้น “เจ้าของรถ” เป็นผู้ขับรถเอง

ส่วนในปัจจุบัน รถที่ใช้กระจังหน้าแบบคลาสสิก ที่มีดาวดวงเล็ก ตั้งอยู่บนฝากระโปรงหน้า หรือที่เรียกแบบไทยๆว่า “ดาวลอย” นั้น จะสงวนเอาไว้สำหรับรถที่เน้นความสุขุม คลาสสิก หรือรถที่มีโชเฟอร์ขับให้เป็นหลัก อาทิ รุ่น เอส-คลาส (S-Class) ส่วนรุ่นอี และ ซี-คลาส ที่มาพร้อมกระจังหน้าแบบดาวลอย ก็มียอดขายน้อยลงไปเรื่อยๆ

ต้องยอมรับว่า รถ EQS รุ่นแรกในปี 2022 นั้นเป็นรถที่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งก็คือ การวางตำแหน่งการตลาดที่ให้เป็นรถที่เจ้าของขับเอง จึงให้กระจังหน้าแบบสปอร์ต แต่ในความเป็นจริง คนซื้อรถระดับนี้จำนวนไม่น้อย ต้องการนั่งเบาะหลัง ทำให้ดีไซน์แบบสปอร์ต ดูแล้วไม่ภูมิฐาน และที่ร้ายกว่านั้นปรากฏว่า เบาะนั่งตอนหลังนั้นตั้งชันเกินไป ทำให้เศรษฐีที่ชอบนั่งเบาะหลังบ่นกันอุบว่านั่งไม่สบาย เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง BMW i7 รวมๆแล้วมันกลายเป็นรถที่ไม่โดนใจไปเสียอย่างนั้น

การออกแบบ EQS รุ่นปี 2025 อ้วนซ่าฯ มองว่าได้ทำการแก้ไขได้ตรงจุด เพราะด้วยการออกแบบกระจังหน้าสไตล์คลาสสิก แบบ “ดาวลอย” ทำได้ลงตัวและกลมกล่อมอย่างยิ่ง และสมกับการเป็นรถไฟฟ้าระดับเรือธง ดูมีระดับกว่าดีไซน์เดิมมาก และช่วยให้สามารถแยกความแตกต่างออกจากรถรุ่น EQE ที่เป็นรถไซส์ย่อมลงมาได้ง่ายขึ้น

อีกจุดหนึ่งที่ทำการปรับปรุงก็คือ การออกแบบเบาะหลังให้สามารถปรับเอนนอนได้เป็นช่วงกว้างมากถึง 38 องศา หากท่านเลือกแพ็กเกจ “เพิ่มความสบายของเบาะหลัง” (Rear Comfort Package Plus) รวมถึงเพิ่มความหนานุ่มของโฟมพนักพิงเบาะหลังเพิ่มอีก 5 มิลลิเมตร เพื่อความสบายแบบไร้ที่ติ และเหมาะสมกันดีกับการเป็นรถขนาดใหญ่ ที่เจ้าของรถนั่งเบาะหลัง

ส่วนหากเจ้าของรถต้องการจะขับเอง พวกเขาก็จะได้พบกับแดชบอร์ดที่ล้ำที่สุดในปัจจุบันรุ่นหนึ่งด้วยการใช้หน้าจอที่เรียกว่า MBUX ไฮเปอร์สกรีน (Hyperscreen) ที่ยาวซ้ายจรดขวา ราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์

นอกจากนั้นในรถรุ่นใหม่ ยังได้ทำการเพิ่มความจุของแบตเตอรี่ ขึ้นจาก 108.4 กิโววัตต์ชั่วโมง ขึ้นเป็น 118 กิโลวัตต์ชั่วโมง ช่วยเพิ่มระยะทางวิ่งได้มากขึ้นราว 11% โดยสเปคที่ขายในบ้านเราเดิมจะวิ่งได้ 770 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ก็จะได้ระยะทางเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 850 กิโลเมตรเลยทีเดียว เรียกว่า วิ่งได้ไกลหายห่วง …เรียกได้ว่า การปรับโฉมครั้งนี้ น่าจะแก้มือ เรียกคะแนนคืนมาจาก คนที่หันไปเล่น BMW i7 ได้บ้างสิน่า!.

2024-04-21T04:42:18Z dg43tfdfdgfd